ปั๊มลม (Air Compressor) หรือ เครื่องอัดอากาศเป็นอุปกรณ์ที่บีบอัดและเก็บอากาศไว้ในถัง สามารถนำอากาศที่อัดไปใช้กับงานต่างๆ ได้ เช่น เครื่องมือและอุปกรณ์ให้กำลัง เติมลมยาง หรือแม้แต่ใช้งานเครื่องจักรนิวเมติกส์ สิ่งสำคัญคือต้องเลือกประเภทและขนาดของเครื่องอัดอากาศให้เหมาะสมกับการใช้งานที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่แล้วปั๊มลมที่นิยมใช้กันมี 2 ประเภทได้แก่ แบบลูกสูบและแบบสกรู จะเห็นตามอู่ซ่อมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความทนทานสูง และสามารถสร้างความดันหรือแรงดันของลมอัด ได้ตั้งแต่ 1-10 bar การรู้ความแตกต่างของปั๊มลมทั้งสองชนิดนี้ จะทำให้สามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม
ปั๊มลมลูกสูบ (Piston Air Compressor)
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังมาขับเคลื่อนลูกสูบให้เคลื่อนที่ขึ้นลง ทำให้เกิดแรงดูดเเละอัดอากาศภายในกระบอกสูบ โดยมีวาล์วทางด้านดูดและวาล์วทางออกทำงานสัมพันธ์กัน ถือเป็นปั๊มลมที่นิยมใช้งานมากที่สุดด้วยความเหมาะสมต่อการใช้งานและราคาที่ไม่สูงมากนักและยังสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกอีกด้วย
ข้อดี
- ราคาถูก เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่มีงบจำกัด
- บำรุงรักษาง่าย ไม่ต้องมีการอบรมพิเศษสำหรับการใช้งาน และการซ่อมแซม
- มีหลายขนาด รองรับงานต่างๆ ปั๊มลมขนาดเล็กสามารถใช้สำหรับงานในครัวเรือน ปั๊มลมขนาดใหญ่สามารถใช้สำหรับงานอุตสาหกรรม
ข้อเสีย
- เสียงดัง อาจมีเสียงดังได้ โดยเฉพาะรุ่นที่เล็กกว่า
- ใช้น้ำมันหล่อลื่น สามารถปนเปื้อนกับอากาศอัดได้ ซึ่งอาจเป็นปัญหาสำหรับงานบางประเภท
- ไม่เหมาะใช้งานต่อเนื่อง หากต้องการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน จำเป็นต้องหยุดพักเป็นระยะเพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไป
ปั๊มลมสกรู (Screw Air Compressor)
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลังในการหมุนเพลาสกรู 2 ตัวให้หมุนเข้าหากันทำให้เกิดแรงอัดอากาศขึ้นมา เครื่องอัดลมแบบสกรูจะได้ปริมาณลมที่สม่ำเสมอกว่าแบบลูกสูบเเละ ทั้งนี้ปริมาณลมเเละเเรงดันลมขึ้นอยู่กับกำลังของมอเตอร์เเละการออกเเบบชุดสกรู ยิ่งกำลังสูงตัวเครื่องอัดอากาศก็จะสามารถผลิตปริมาณอากาศได้มากเเละมีขนาดที่ใหญ่ตามด้วย เป็นที่นิยมในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป เพราะปั๊มลม (Air Compressor) ประเภทนี้จะให้การผลิตลมที่มีคุณภาพสูง
ข้อดี
- เงียบกว่า ทำงานเงียบกว่าแบบลูกสูบมาก ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเงียบ
- มีประสิทธิภาพสูง แบบสกรูใช้พลังงานน้อยกว่าแบบลูกสูบในการผลิตอากาศอัดในปริมาณเดียวกัน
- เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่อง สามารถทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่ต้องหยุดพัก
- อากาศอัดที่ดีกว่า บางรุ่นใช้น้ำมันหล่อลื่นน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนอากาศอัด
ข้อเสีย
- ราคาแพงกว่าแบบลูกสูบ ปั๊มลมประเภทนี้โดยทั่วไปมักจะมีราคาสูง
- ซ่อมแซมยาก มีโครงสร้างซับซ้อนกว่าปั๊มลมลูกสูบ ซึ่งอาจทำให้การซ่อมแซมยากขึ้น
วันนี้ทุกคนก็คงได้ทราบกันแล้วว่า ความแตกต่างของปั๊มลม (Air Compressor) นั้นมีอะไรบ้าง หากใครที่สนใจสามารถคลิกสั่งซื้อสินค้า เพื่อนำไปใช้งานได้เลยค่ะ มีให้เลือกหลากหลายรุ่น หลากหลายยี่ห้อ เช่น MEDI AIR, GAST, JUN – AIR, PUMA แล้ว ยังมี เครื่องเติมอากาศ,ปั๊มน้ำสำหรับน้ำดี, ปั้มสำหรับน้ำเสีย, ปั๊มสารเคมี และเครื่องจักรอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย เรียกว่าที่เดียวครบทุกความต้องการด้านอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
หากคุณลูกค้าท่านใดต้องการคำแนะนำหรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม ทีมวิศวกรฝ่ายขายของบริษัท เมคคานิก้า ยินดีให้คำแนะนำ และสามารถนัดหมายเพื่อเข้าประเมินหน้างานได้เลยค่ะ
สอบถามรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ บริษัท เมคคานิก้า จำกัด
TEL 02-011-1000 , Hotline 088-008-2305
รับชมสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆอีกมากมายที่ YOUTUBE : MECHANIKA